แก้ปัญหาผิวหน้าหมองคล้ำ ให้ผิวสวยใส ไร้รอยสิว
ด้วย PRP หน้าใส
เบื่อหน่ายกับปัญหาผิวหมองคล้ำ และรอยสิวที่ไม่ยอมหายสักทีอยู่ใช่? หากคุณอยากมีผิวหน้าสวยใส เปล่งปลั่ง
อ่อนเยาว์? วันนี้ SUPASSARA CLINIC เรามีทางออกที่ช่วยแก้ปัญหานี้ให้คุณด้วยเทคโนโลยี PRP หน้าใส ที่ปลอดภัย
ไม่เสี่ยงต่อการแพ้ ทำให้ผิวหน้าของคุณกลับมาดูสุขภาพดี และอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ
ซึ่ง PRP หน้าใส ก็ไม่เพียงแต่ช่วยแก้ปัญหาผิวหมองคล้ำเท่านั้น แต่ยังช่วยลดเลือนรอยสิว รอยแดง และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวหน้าของคุณดูอิ่มน้ำ เรียบเนียน และตึงกระชับมากขึ้นอีกด้วย หากใครอยากรู้จักกับเทคโนโลยีนี้ให้มากยิ่งขึ้นว่าจริง ๆ แล้ว PRP หน้าใส ช่วยอะไรได้บ้างอยู่ล่ะก็ ตามมาดูกันเลย
สาเหตุของปัญหาผิวหน้าหมองคล้ำ
ปัญหาใบหน้าหมองคล้ำเป็นเรื่องที่พบเจอได้บ่อยในปัจจุบัน ซึ่งมีสาเหตุหลัก ๆ มาจากปัจจัยรอบตัวเรา และพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน
- ปัจจัยภายนอก ที่ส่งผลต่อผิวหมองคล้ำ ได้แก่ มลภาวะในอากาศ เช่น ฝุ่น ควัน และแสงแดดที่เต็มไปด้วยรังสี UVA และ UVB มาทำร้ายเซลล์ผิว นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการใช้เครื่องสำอางที่ไม่เหมาะสมกับสภาพผิว หรือการทำความสะอาดผิวที่ไม่หมดจด ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดปัญหาผิวหน้าหมองคล้ำได้
- ปัจจัยภายใน ก็มีส่วนสำคัญเช่นกัน โดยเฉพาะความเครียดที่ส่งผลให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนกระตุ้นการผลิตเม็ดสีเมลานินเพิ่มขึ้น ทำให้ผิวคล้ำเสียได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการนอนดึกและการพักผ่อนไม่เพียงพอ ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ผิวไม่สามารถฟื้นฟูตัวเองได้อย่างเต็มที่เช่นกัน ผิวจึงดูหมองคล้ำและโทรมกว่าเดิม
ฟื้นฟูผิวหมองคล้ำให้กลับมามีชีวิตชีวาด้วย PRP ผิวใส
ปัญหาผิวหมองคล้ำ ริ้วรอย และจุดด่างดำ เป็นเรื่องที่กวนใจใครหลายคน แม้จะลองบำรุงผิวด้วยผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ
แล้วก็ตาม แต่บางครั้งก็ยังไม่เห็นผลลัพธ์ที่น่าพอใจ ดังนั้นการทำทรีตเมนต์ PRP ผิวใสจึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ
ไม่น้อย
ซึ่ง PRP หน้าใส หรือ Platelet-Rich Plasma ก็เป็นหนึ่งในนวัตกรรมความงามมอบผิวหน้าใสที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน โดยนำเลือดของตัวเราเองมาสกัดมาปั่นแยกเอาส่วนที่อุดมไปด้วยเกล็ดเลือด (Platelet) และ Growth Factor ซึ่งเป็นสารที่ช่วยในการซ่อมแซมและสร้างเซลล์ผิวใหม่ ฉีดกลับเข้าไปในผิวหนัง เพื่อช่วยเติมเต็มคอลลาเจนและ อีลาสติน ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ กระจ่างใสขึ้น รอยสิว รอยดำ จางลง และผิวมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
ทำไม PRP หน้าใส ถึงได้รับความนิยม?
- มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากใช้เลือดของตัวเอง จึงลดความเสี่ยงในการแพ้
- เห็นผลลัพธ์ชัดเจน ช่วยให้ผิวกระจ่างใสขึ้น ริ้วรอยลดลง ผิวเรียบเนียน
- ฟื้นฟูผิวจากภายใน โดยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น
- เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหลากหลายประการ
PRP หน้าใส ช่วยอะไรได้บ้าง?
- จัดการผิวหมองคล้ำ
- ลดเลือนรอยสิว และรอยดำ
- ลดเลือนริ้วรอยร่องลึก
- ฟื้นบำรุงผิวขาดความชุ่มชื้น
- ลดปัญหาผิวไม่เรียบเนียน
- ช่วยให้หลุมสิวตื้นขึ้น
การเตรียมตัวก่อนทำ PRP เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- พักผ่อนให้เพียงพอ โดยควรนอนหลับอย่างน้อย 8 ชั่วโมงต่อคืน เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนและฟื้นฟูตัวเองอย่างเต็มที่
- ควรดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 1.5-2 ลิตร เพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและส่งเสริมกระบวนการฟื้นฟูผิวให้เป็นไปได้ดีขึ้น
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็น
- งดยาต้านการอักเสบ เช่น แอสไพริน หรือยาในกลุ่ม NSAIDs เป็นเวลา 2-3 วันก่อนทำ
- งดอาหารเสริมและวิตามินบางชนิด (โดยควรปรึกษากับแพทย์ผู้ที่จะทำการรักษาอย่างละเอียด)
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 4 สัปดาห์ก่อนทำ
- งดสูบบุหรี่อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนทำ
- งดอาหารที่มีไขมันสูง เช่น ของทอด ของมัน
- งดแต่งหน้าในวันทำหัตถการ
- ควรทานวิตามินซีเสริมก่อนทำ PRP หน้าใสประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อช่วยในการสร้างคอลลาเจน
- หากมีโรคประจำตัวหรือมียาที่ต้องทานเป็นประจำ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบทุกครั้งก่อนเข้ารับการรักษา
ขั้นตอนการทำ PRP หน้าใส
การทำ PRP หน้าใสเป็นกระบวนการที่ไม่ซับซ้อนและปลอดภัย โดยมีขั้นตอนหลักดังนี้
- การเจาะเลือด โดยแพทย์จะทำการเจาะเลือดจากผู้ป่วยประมาณ 10-20 ซีซี โดยทั่วไปจะเจาะที่บริเวณข้อพับแขน
- นำไปปั่นแยกเลือดด้วยเครื่อง Centrifuge เพื่อแยกส่วนประกอบต่าง ๆ ของเลือด โดยจะแยกเฉพาะเกล็ดเลือด (Platelet) ออกมาบำรุงผิว เนื่องจากอุดมไปด้วย Growth Factor
- เกล็ดเลือดที่ได้จากการปั่นจะถูกนำมาเตรียมให้มีความเข้มข้นสูงขึ้น เพื่อให้ได้ PRP ที่มีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูผิว
- แพทย์จะใช้เข็มขนาดเล็กฉีด PRP เข้าสู่บริเวณที่ต้องการรักษา เช่น ใบหน้า รอบดวงตา หรือบริเวณที่มีปัญหา เช่น รอยสิว ริ้วรอย
ซึ่งระยะเวลาในการทำ PRP หน้าใสทั้งหมดจะใช้เวลาประมาณ 45-60 นาที
ข้อควรระวังและข้อจำกัดสำหรับการทำ PRP
- กลุ่มบุคคลที่ไม่ควรทำ PRP ได้แก่ ผู้ป่วยโรคมะเร็ง, ผู้ป่วยติดเชื้อ, ผู้ป่วยโรคผิวหนัง, ผู้ที่รับประทานยาสลาย
ลิ่มเลือด, ผู้ป่วยโรคโลหิตจาง, ผู้ที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด, รวมทั้งผู้ที่กำลังตั้งครรภ์
และผู้ที่มีผื่นหรือมีการติดเชื้อในบริเวณที่จะรักษา - อาการข้างเคียงที่พบบ่อยจากการทำ PRP คือ รอยแดง บวม และคัน ซึ่งจะหายไปเองภายใน 1-2 วันหลังฉีด
- ผลลัพธ์ที่ได้จะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยทั่วไปจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนหลังจากทำไปแล้วประมาณ 2-4 สัปดาห์ และจะค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ
คำแนะนำในการดูแลตัวเองหลังทำ PRP หน้าใส
- งดล้างหน้าทันทีหลังทำประมาณ 4-6 ชั่วโมง เพื่อให้ PRP ได้ซึมเข้าสู่ผิวได้อย่างเต็มที่
- พักหน้าจากเครื่องสำอางอย่างน้อย 1 วัน เพื่อให้ผิวได้ฟื้นตัว และสมานแผลจากรอยเข็ม
- งดออกแดดจัดเป็นเวลาอย่างน้อย 2-3 วัน เพื่อป้องกันการอักเสบของผิว โดยควรสวมหมวกและแว่นกันแดด เมื่อต้องออกไปข้างนอก
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก ๆ และกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากอาจทำให้ผิวระคายเคืองได้ง่าย
- งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA หรือ Whitening เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวแห้งระคายเคืองง่าย
- งดรับประทานยาแอสไพรินและไอบูโพรเฟน เพราะอาจทำให้เลือดออกง่าย
- ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและช่วยให้กระบวนการฟื้นฟูผิวเป็นไปได้ดีขึ้น
- หากมีอาการผิดปกติ เช่น บวม แดง ร้อน หรือคัน ควรปรึกษาแพทย์ทันที
สรุป
ทุกคนจะเห็นได้ว่า PRP หน้าใส ช่วยอะไรได้บ้าง? กันแล้ว ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยแก้ปัญหาผิวหมองคล้ำและรอยสิวเท่านั้น แต่ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวเรียบเนียน รูขุมขนกระชับ และอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ พร้อมช่วยลดเลือนจุดด่างดำ รอยแดงต่าง ๆ บนใบหน้าให้ดูจางลง ทำให้กลับมามีผิวสดใส ดูสุขภาพดีอีกครั้ง และเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แนะนำให้หมั่นทาครีมบำรุงอย่างสม่ำเสมอร่วมด้วย รวมไปถึงการพักผ่อนให้เพียงพอ ก็จะช่วยให้คุณมีผิวหน้าขาวใส ไม่โทรม และไม่หมองคล้ำได้แล้ว
พร้อมที่จะมีผิวสวยใสดั่งที่คุณฝันแล้วหรือยัง? สามารถมาปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังที่ SUPASSARA CLINIC
เพื่อรับคำแนะนำเพิ่มเติม หรือวางแผนการรักษา PRP หน้าใสที่เหมาะสมกับสภาพผิวของคุณได้ เพื่อเข้าช่วยจัดการปัญหาผิวของคุณได้อย่างตรงจุด โทร. 095-456-0600 หรือ line: @supassara.clinic